‘ผู้แทนการค้าฯ’เร่งดึง ‘EV’ลงทุนเพิ่ม เผย ‘BWW’สนใช้ไทยเป็นฐานผลิต

ผู้แทนการค้าเผยรถ EV ไทยผงาดเตรียมดึงค่ายรถลงทุนเพิ่ม จ่อของบกลางฯ 4-5 พันล้านอุดหนุนค่ายรถที่ลดภาษีสรรพสามิต

รัฐบาลได้ตั้งทีมปฏิบัติการเชิงรุกได้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ “Better and Green Thailand 2030” เพื่อผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะ 10 ปีข้างหน้า โดยมีเป้าหมายดึงดูดการลงทุนมากกว่า 2 ล้านล้านบาท สร้างตำแหน่งงานใหม่ 625,000 อัตรา และเพิ่มจีดีพีของประเทศอีก 1.7 ล้านล้านบาท

ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ผู้แทนการค้าไทย (ทีทีอาร์) และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และหัวหน้าทีมปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เปิดเผยว่าในนโยบายการผลักดันรถยนต์ไฟฟ้า หรือ (EV) ที่รัฐบาลได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง 2 ปี ถือว่าประสบผลสำเร็จเกินคาด โดยปี 2565 ไทยถือว่าเป็นอันดับต้นของโลกในแง่ของยอดขายรถ EV ทำให้เห็นว่าเรามีตลาดที่ใหญ่พอที่จะดึงดูดการลงทุน

เศรษฐกิจ

ปี 2566 จะมีบริษัทรถยนต์ค่ายยุโรปที่เข้ามาลงทุนผลิตรถ EV ในไทยเพิ่มเติม คือ บริษัท BMW ซึ่งจะเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานการลงทุนเพื่อจำหน่ายในไทยและเป็นฐานสำหรับส่งออกไปยังอาเซียน ซึ่งก็ถือว่าเป็นความสำเร็จหลังจากที่สามารถดึงค่ายรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน และญี่ปุ่นให้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มเติมได้

สำหรับอุตสาหกรรมต่อเนื่องในส่วนของรถ EV รัฐบาลอยู่ระหว่างทำงานในการเจรจากับบริษัทชั้นนำที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนสำคัญของรถ EV โดยเฉพาะในส่วนของอิเล็กทรอนิกส์ต้นน้ำ โดยมีเป้าหมายที่จะดึงการผลิตเข้ามาในประเทศไทย และในอนาคตต้องมีสัดส่วนในการผลิตชิ้นส่วนสำคัญของรถ EV มากกว่ามาเลเซีย ตามแนวโน้มของอุตสาหกรรม และระบบนิเวศน์รถ EV ที่ใหญ่มากขึ้นในประเทศไทย แนะนำข่าวเพิ่มเติม>>> “สมคิด”ชวนประชาชน นักการเมือง ร่วมสร้างทีมเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

 

ผู้ถือหุ้น ”กรุงศรี” ถกเคาะซื้อหุ้นแบงก์อินโดฯ – ฟิลิปปินส์ 17 ม.ค.นี้

ผู้ถือหุ้น ”กรุงศรี” ถกเคาะซื้อหุ้นแบงก์อินโดฯ – ฟิลิปปินส์ 17 ม.ค.นี้

กรุงศรีฯ หรือ BAY เสนอผู้ถือหุ้นเคาะซื้อกิจการสินเชื่อในอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มูลค่ารวมกว่า 1.77 หมื่นล้าน ในวันที่ 17 ม.ค.นี้

ผู้ถือหุ้น

นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY เปิดเผยว่า จากมติที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 ที่ อนุมัติการเข้าทำธุรกรรม และเห็นชอบให้เสนอที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อกิจการให้บริการสินเชื่อผู้บริโภคของ Home Credi ในประเทศอินโดนีเซีย และประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อช่วยสร้างการเติบโต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจของธนาคารในระยะยาว

1.จะเข้าซื้อหุ้นในอัตราร้อยละ 75.0 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ PT. Home Credit Indonesia จาก Home Credit Indonesia B.V. และ Ms. Wanda Ariestiani Evans โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 176.4 ล้านยูโร หรือคิดเป็นประมาณ 6.6 พันล้านบาท

2.จะซื้อหุ้นในอัตราร้อยละ 75.0 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ HC Consumer Finance Philippines, Inc. และอัตราร้อยละ 100.0 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ HCPH Financing 1, Inc. และ HCPH Insurance Brokerage, Inc. จาก HC Philippines Holdings B.V. และ Filcommerce Holdings, Ino. โดยมีมูลค่าการลงทุน ประมาณ 297.6 ล้านยูโร หรือคิดเป็นประมาณ 1.11 หมื่นล้านบาท

มูลค่าการลงทุนของธุรกรรมเข้าซื้อ Home Credit ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศฟิลิปปินส์ ทั้งหมดรวมประมาณ 473.9 ล้านยูโร หรือคิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 17,700.8 ล้านบาท

ทั้งนี้การเข้าทำธุรกรรมนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย (“ธปท.”) และ Financial Services Authority (Otoritas Jasa Keuangan) of Indonesia (“OJK”) และ Bangko Sentral ng Pilipinas (“BSP”) และPhilippines Competition Commission (“PCC”)

รายละเอียดของธุรกรรมจะต้องถูกแจ้งให้ Japanese Financial Services Agency (“JFSA”) และ Securities and Exchange Commission of Philippines, Commission for the Supervision of Business Competition of Indonesia (Komisi Pengawas Persaingan Usaha) (“KPPU)

นายเซอิจิโระ กล่าวว่า ธนาคารอนุมัติกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 ในวันอังคาร ที่ 17 มกราคม 2566 เวลา 14.00 น. ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-EGM) ตามหลักเกณฑ์ และข้อกำหนดว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อพิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อกิจการให้บริการสินเชื่อผู้บริโภคของ Home Credit ในประเทศอินโดนีเซีย และประเทศฟิลิปปินส์

อ่านข่าวเศรษฐกิจที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่นี่ : “สมคิด”ชวนประชาชน นักการเมือง ร่วมสร้างทีมเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

“สมคิด”ชวนประชาชน นักการเมือง ร่วมสร้างทีมเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

“สมคิด” ชี้หมดเวลาแตกแยกทำประเทศถดถอย ถึงเวลาสร้างทีมเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ชักชวนประชาชน นักการเมือง ร่วมจัดทำนโยบายดีๆ เพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้(31 ธ.ค.) ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย โพสท์เฟซบุ้ค ระบุว่า “น่าเสียดายและน่าเสียใจ บ้านเมืองก็จะค่อยๆ ถดถอยไป เพราะเราแก้ปัญหาภายในกันไม่จบ ประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องไม่ใช่อย่างนี้ และประชาชนคนไทยก็ไม่ควรที่จะได้แต่นั่งรอชะตากรรม”

ข่าวเศรษฐกิจ 66

สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถบรรลุได้ด้วยคนไม่กี่คน ต้องอาศัยพลังที่ยิ่งใหญ่อย่างพี่น้องประชาชน จากการหารือ จากการนั่งคิดเราก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ให้กับประเทศ

“ผมอยากใช้โอกาสนี้ชวนประชาชน และนักการเมืองที่ตั้งใจดี มุ่งมั่นที่จะสร้างบ้านสร้างเมือง มาร่วมกับพวกเรา หานโยบายดีๆ พัฒนาประเทศเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เราไม่มีการแบ่งแยก”

ข่าวแนะนำ : “CEA” เปิดตัวโครงการ “HERB TO GO สมุนไพรไทยพร้อมไปต่อ”

“CEA” เปิดตัวโครงการ “HERB TO GO สมุนไพรไทยพร้อมไปต่อ”

“CEA” เปิดตัวโครงการ “HERB TO GO สมุนไพรไทยพร้อมไปต่อ” โมเดลพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก มุ่งยกระดับวิสาหกิจชุมชน เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA เปิดตัวโครงการ “HERB TO GO สมุนไพรไทยพร้อมไปต่อ” โมเดลพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่จะช่วยพัฒนายกระดับวิสาหกิจชุมชน ด้วยการใช้แพลตฟอร์มความร่วมมือเเละความคิดสร้างสรรค์ต่อยอดสินค้าและบริการ ดัน 3 จังหวัดต้นเเบบ ได้แก่ กระบี่ สกลนคร สมุทรปราการ มุ่งใช้สมุนไพรท้องถิ่น ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สร้างจุดขาย เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ตั้งเป้าต่อยอดโมเดลสู่จังหวัดอื่นๆ ต่อไป

เศรษฐกิจหมุนเวียน

ภายในงาน ณ ห้อง Auditorium ชั้น M สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ดร.อรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เป็นประธานเปิดงานโดยมี ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองประธานคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากเเละประเทศ นางสาวสกุณา สาระนันท์ สมาชิกผู้เเทนราษฏร เขต 5 จังหวัดสกลนคร และนางสาวพิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล สมาชิกผู้เเทนราษฏร จังหวัดกระบี่ให้เกียรติร่วมเสวนา พร้อมแชร์ประสบการณ์ในการพัฒนาชุมชน โดยมี ดร.ชาคริต พิชยางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ นำคณะผู้จัดงานให้การต้อนรับ ท่ามกลางผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนร่วมงานจำนวนมาก

ดร.ชาคริต พิชญางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือ CEA เปิดเผยว่า CEA มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยใช้กระบวนการสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ (Value Creation) ให้แก่สมุนไพรไทย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจชีวภาพและเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งประเทศไทยของเรานั้นตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น ทำให้มีความหลากหลายของพันธุ์พืชสูง ตลาดสมุนไพรไทยจึงเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องในเอเชียและยุโรป ซึ่งสินทรัพย์ล้ำค่าเหล่านี้มีอยู่ในท้องถิ่นทั่วประเทศ “CEA จึงเล็งเห็นช่องทางการนำมาพัฒนาต่อยอดด้วยความคิดสร้างสรรค์ผนวกกับองค์ความรู้ด้านการพัฒนาธุรกิจ นวัตกรรม สร้างเป็นแบรนด์สินค้าและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทย ที่สามารถยกระดับวิสาหกิจชุมชน สู่การเพิ่มมูลค่าธุรกิจ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตชุมชนให้ดียิ่งขึ้นเเละการต่อยอดเชิงพาณิชย์ในตลาดท้องถิ่นเเละตลาดสากลต่อไป”

ดร.ชาคริต กล่าวต่อไปว่า CEA เป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญในการเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์ผ่านโครงการเเละกิจกรรมในรูปเเบบต่างๆ “HERB TO GO สมุนไพรไทยพร้อมไปต่อ” นับเป็นโครงการสร้างมูลค่าสินค้าไทยจากเศรษฐกิจท้องถิ่น (Value Creation) โดยมุ่งสร้างโมเดลต้นแบบธุรกิจสมุนไพรที่ส่งเสริมและสร้างรายได้ ขยายโอกาส รวมทั้งความยั่งยืนให้แก่วิสาหกิจ ด้วยกระบวนการ Space Compass Creation:Service Journey นั่นคือ ร้อยเรียงเส้นทางสร้างมูลค่าเพิ่มในการพัฒนาสมุนไพรไทย โดยดึงจุดเเข็งและจุดขายของแต่ละท้องถิ่น พร้อมโจทย์ของตลาดนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ และมาตรฐาน แล้วเพิ่มคุณค่าด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสม

ตลอดจนสร้างความพิเศษให้โดดเด่นด้วยการบอกเล่าเรื่องราวเฉพาะของท้องถิ่น ภายใต้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เเล้วลงมือทำจริงแบบครบวงจร เพื่อให้วิสาหกิจชุมชนสามารถดำเนินการต่อไปเองได้